วิธีคำนวณ BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง

คำนวณ BTU แอร์ แบบเข้าใจง่าย สำหรับผู้ต้องการติดแอร์ เลือกอย่างไรให้เหมาะสม คุ้มค่าที่สุด


BTU สำคัญอย่างไร?

  ขนาด BTU ที่ไม่สัมพันธ์กับขนาดห้อง อาจทำให้ค่าไฟพุ่งสูง หรือถ้าหากเลือกแอร์ที่มีขนาดใหญ่จนเกินไป เพราะต้องการให้ห้องเย็นไว ก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดการทำงานบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้แอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ความหมายของ BTU

  บีทียู หรือ British Thermal Unit (BTU) เป็นหน่วยประเภทหนึ่งสำหรับใช้วัดปริมาณความร้อน ส่วนใหญ่มักนำมาใช้กับระบบของแอร์ หากเทียบกับหน่วยสากลแล้วมันก็คือ จูล หรือ แคลอรี นั่นเอง สำหรับความร้อนระดับ 1 BTU หมายถึง ระดับความร้อนที่ส่งผลให้น้ำระดับ 1 ปอนด์ จะมีอุณหภูมิลดลงหรือเพิ่มขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเมื่อมีการนำมาใช้กับแอร์หมายถึงระบบของแอร์ จะทำการดึงเอาความร้อนหรือ วัดระดับของความเย็น ในพื้นที่ที่ติดตั้งออกไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้คงที่มากที่สุดนั่นเอง

เครื่องปรับอากาศนั้นมีให้เลือกใช้งาน และติดตั้ง หลากหลายขนาด ตั้งแต่ 9,000 – 80,000 BTU

BTU ห้องปกติ ห้องโดนแดด
9,000 12-15 ตร.ม. 11-14 ตร.ม.
12,000 16-20 ตร.ม. 14-18 ตร.ม.
18,000 24-30 ตร.ม. 21-27 ตร.ม.
21,000 28-35 ตร.ม. 25-32 ตร.ม.
24,000 32-40 ตร.ม. 28-36 ตร.ม.
25,000 35-44 ตร.ม. 30-39 ตร.ม.
30,000 40-50 ตร.ม. 35-45 ตร.ม.
35,000 48-60 ตร.ม. 42-54 ตร.ม.
48,000 64-80 ตร.ม. 56-72 ตร.ม.
80,000 80-100 ตร.ม. 70-90 ตร.ม.
สูตรการคำนวณ BTU แอร์ แบบเข้าใจง่าย ๆ คือ
BTU = พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ความแตกต่าง

ค่าความแตกต่าง หรือ Cooling load คือ ค่าความร้อนที่เกิดขึ้นภายในแต่ละห้อง จะมีค่าแตกต่างกันไปตามลักษณะของห้อง เช่น

  ห้องนั่งเล่น ค่า Cooling load เท่ากับ 750-850 BTU ต่อตารางเมตร
  ห้องนอน ค่า Cooling load เท่ากับ 700-750 BTU ต่อตารางเมตร
  ห้องทำงาน ค่า Cooling load เท่ากับ 800-900 BTU ต่อตารางเมตร
  ห้องครัว ค่า Cooling load เท่ากับ 900-1,000 BTU ต่อตารางเมตร

หรือจะเลือกคำนวณค่า Cooling load ด้วยวิธีคิดง่าย ๆ ก็ได้เช่นกัน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  ห้องที่มีความร้อนสูงและใช้งานในช่วงเวลากลางวัน ค่า Cooling load เท่ากับ 700-800 BTU ต่อตารางเมตร
  ห้องที่มีความร้อนไม่มากหรือน้อย และใช้งานในช่วงเวลากลางคืน ค่า Cooling load เท่ากับ 600-700 BTU ต่อตารางเมตร


ตัวอย่างการคำนวณ BTU แอร์ เพื่อให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

ห้องนั่งเล่นมีขนาดพื้นที่ กว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร เท่ากับ

(4X5) X 750 = 15,000 BTU

ดังนั้นควรเลือกแอร์มาติดตั้งในขนาด 15,000 BTU ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมกับห้องนั่งเล่นที่มีขนาด 20 ตารางเมตร

  นอกจากนี้เรายังไม่ควรละเลยในเรื่องขององค์ประกอบภายในห้อง อาทิเช่น ทิศทางของแสง จำนวนของหน้าต่าง ความสูงของฝ้าเพดาน เป็นต้น เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้มีประสิทธิภาพ สามารถปล่อยความเย็นได้เต็มพื้นที่ในระยะเวลาที่ไม่นาน ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน และยังประหยัดค่าไฟได้อีกด้วย

ปัจจัยเพิ่มเติมที่เราไม่ควรมองข้าม ในการเลือก BTU แอร์

1.ขนาดและจำนวนของหน้าต่างและกระจกในห้อง

2.ทิศทางแสงแดดและตำแหน่งของห้อง แสงแดดที่ส่องจะย่อมส่งผลให้ภายในบ้านมีอุณหภูมิความร้อนที่สูงขึ้น ดังนั้นห้องที่ได้รับแสงแดดตกกระทบจำเป็นต้องเลือก BTU แอร์ที่สูงขึ้น เช่น ห้องนั่งเล่นที่โดดแสงแดดส่องผ่านในชั่วเวลากลางวันตลอดเวลา ขนาดของพื้นที่ห้องเหมาะสมกับการใช้ขนาดแอร์ 9,000 BTU ก็อาจจะเลือกขนาดแอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 12,000 BTU เพื่อช่วยระบายหรือไล่ความร้อนภายในห้องให้เร็วยิ่งขึ้น ไม่ให้แอร์ทำงานหนักจนเกินไป

3.ความสูงของฝ้าเพดานและวัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่

4.จำนวนคนที่ใช้งานภายในห้อง ยิ่งจำนวนสมาชิกภายในห้องมากเท่าไหร่ ความร้อนที่สะสมอยู่ภายในร่างกายย่อมระบายออกมามาก ซึ่งส่งผลให้แอร์ทำงานหนักขึ้น และห้องเย็นช้าลง

5.จำนวนและประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดความร้อน เช่น ไมโครเวฟ ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องลดช้าลง หรือเย็นช้าลง แต่บางครั้งก็ยากที่จะเลี่ยงในการติดตั้งและใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ การเพิ่มขนาด BTU จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ไขที่จะช่วยเพิ่มความเย็นให้ภายในห้องได้ หรือหากจำเป็นต้องเปิดใช้งาน ก็ควรเปิดใช้งานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรเปิดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกันทุกเครื่อง

6.ความถี่ในการเปิด-ปิด/เข้า-ออกประตู หนึ่งในสาเหตุที่อากาศร้อนจากภายนอกห้อง เล็ดลอดเข้ามาภายในห้องแอร์ได้ คือ การเปิด-ปิดประตูเข้าออกห้องอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้แอร์ทำงานหนักมากขึ้น อุณหภูมิภายในห้องเย็นช้าลง และไม่สม่ำเสมอ